วิธีลดน้ำหนักอ้วนลูกแอปเปิ้ล

 

   จากบทความที่แล้ว ผมได้แนะนำเกี่ยวกับลักษณะ รูปร่างของคนอ้วน ซึ่งได้แบ่งไว้ 3 ประเภท คือ อ้วนแบบลูกแอปเปิ้ล อ้วนแบบลูกแพร์ และอ้วนทั้งตัว ว่าแต่ละประเภทมีลักษณะเป็นอย่างไรกันบ้าง บทความนี้ผมจะมาพูดต่อว่า เมื่อเราอ้วนประเภทใหนแล้ว แต่เราอยากปรับเปลี่ยนรูปร่างของเรา ให้ดูดีขึ้น โดยวิธีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายเราจะต้องทำอย่างไร คลิ๊กตรงนี้ (เพื่อดูว่าคุณอ้วนแบบใหน) บทความนี้ผมจะขอพูดถึงคนอ้วนแบบลูกแอปเปิ้น ว่าจะต้องเลือกรับประทานอาหารอย่างไร สิ่งได้รับประทานได้ และสมควรเลี่ยง และแนะนำการออกกำลังกาย  ว่าต้องออกกำลังกายแบบให้ ถึงจะได้ผลดี


อ้วนแบบลูกแอ๊ปเปิ้ล (apple-shape obesity)

    อ้วนรูปร่างแบบแอ๊ปเปิ้ลนั้น หากเรารู้สาเหตุ (มาจากฮอร์โมนทำงานผิดปกติ) เราก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยการเลือกทานอาหารที่ถูกต้อง ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตได้ดีและไม่เหลือตกค้างกลายเป็นไขมัน ทั้งนี้การลดน้ำหนักแบบการคุมอาหารนั้น จะใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผล แต่รับรองผลในระยะยาวว่าไม่มีปัญหากลับมาอ้วนอีก (โยโย่) และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ อีกด้วย



   เรามาดูกันเลยดีกว่าครับ ว่ามีอาหารอะไรบ้างที่เราสามารถรับประทานได้ และสมควรหลีกเลี่ยงโดยรับประทานให้น้อยที่สุด





    นอกจากการควบคุมการรับประทานอาหารให้ถูกต้องแล้ว คลิ๊กที่นี้ (เพื่อดูวิธีการรับประทานอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก) จะต้องมีการออกกำลังการอีกด้วย เพื่อให้ร่างกายสามารถ เผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่ได้อย่างรวดเร็วขึ้น ซึ่งการออกกำลังกายของคนที่อ้วนแบบลูกแอปเปิ้ลนั้น ขอแนะนำว่าควรออกกำลังกายที่เน้นให้ร่างกายส่วนกลางให้มากที่สุด เพราะเร่งการเผาผลาญ ไขมันที่สะสมบริเวณช่องท้อง แนะนะว่าควรออกกำลังกายแบบแอโรบิค หรือที่ฮิตๆตอนนี้ ก็เต้นซุมบ้าไปเลยก็ดี (มันส์ดี) ทั้งนี้การ Sit-Up ก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันที่สะสมบริเวณช่องท้องได้เป็นอย่างดีอีกวิธี 1 ครับ เต้นแอร์โรบิค 30 นาที แล้วมา Sit Up 20-30 ครั้ง ไม่ต้องเยอะครับ เพราะคนอ้วนแบบลูกแอปเปิ้ลจะ Sit Up ค่อนข้างยาก แต่ถ้าทำทุกวันรับรองครับว่า ทำได้มากกว่า 20-30 ครั้งได้อย่างแน่นอน



 คลิ๊กตรงนี้ (เพื่อดูวิธีการ Sit Up ที่ถูกวิธี)

 คลิ๊กตรงนี้ (เพื่อดูการเต้นซุมบ้า) 


ชอบก็ Like ใช่ก็แชร์ให้ด้วยน่ะครับ

ด้วยความปราถนาดี

หมอเถื่อน...




กินอย่างไรให้น้ำหนักลด

   

    

    จากที่ได้แชร์ประสบการณ์ การลดน้ำหนักจาก 85 กิโลกรัม ในระยะเวลา 7 เดือน โดยลดไป 35 กิโลกรัม ก็มีคนเข้ามาถาม และอยากได้ตารางการรับประทานอาหาร ที่ผมใช้ในการควบคุมแคลลอรี่ต่อวันของผม คลิ๊กตรงนี้ (เพื่อดูประสบการณ์การลดน้ำหนัก) แต่ก่อนจะไปดูตารางการรับประทานอาหารสำหรับการลดน้ำหนัก ผมอยากจะพูดหลักวิชาการสักหน่อย นั้นคือเรื่องเกี่ยวกับพลังงานที่ร่างกายคนเราต้องการ หรือปริมาณแคลลอรี่ที่เหมาะสม เพื่อให้เราสามารถทำกิจกรรมในแต่ละวันได้ สำหรับคนไทยปริมาณแคลลอรี่ที่เหมาะสมต่อวันคือ  2,000 แคลอรี่/วัน โดยปริมาณอาหารที่ควรบริโภคให้ได้ใน 1 วัน ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต (แป้ง) คิดเป็น 60% (1,200 กิโลแคลอรี่) หรือเป็นปริมาณที่ควรบริโภคเท่ากับ 300 กรัมต่อวัน, โปรตีน 10% (200 กิโลแคลอรี่) หรือเป็นปริมาณที่ควรบริโภคเท่ากับ 50 กรัมต่อวัน, และไขมัน 30% (600 กิโลแคลอรี่) หรือเป็นปริมาณที่ควรบริโภคเท่ากับ 66.6 กรัมต่อวัน ซึ่งข้อมูลที่กล่าวมาเป็นข้อมูลที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ใช้แรงงานระดับกลางๆ คือทำงานปกติ ถ้าหากเป็นคนที่ต้องใช้แรงงานเยอะจะต้องปริโภคอาหารในปริมาณที่เยอะกว่านี้ ในทางกลับกันหากเราต้องการลดน้ำหนัก ปริมาณแคลลอรี่ต่อวันจะต้องลดลง ซึ่งถ้าให้เหมาะสมจริงๆ แนะนำให้อยู่ที่ 1200-1500 กิโลแคลลอรีต่อวัน และจะต้องควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ที่มีระดับการเผาผลาญพลังงานกลางๆ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ 20-30 นาที โยคะ เป็นต้น

   นักโภชนาการได้จำแนกประเภทอาหารเอาไว้หลายรูปแบบ แต่บทความนี้ผมจะนำการจัดประเภทอาหารแบบที่จำง่ายๆ มาให้อ่านกัน ซึ่งนั้นก็คือการจำแนกอาหารตามโซนสี หรือจำแนกตามสัญญาณไฟจราจร  เขียว เหลือง แดง นั้นเองครับ ซึ่ง



ไฟแดง : หยุด หมายถึง กินไม่บ่อย กินเฉพาะในโอกาสพิเศษบ้างเป็นบางครั้ง

ไฟเหลือง : ชะลอ ช้าๆ หมายถึง กินได้บ่อยปานกลาง กินได้บ้างแต่ไม่กินทุกวัน 1-2 ครั้ง/สัปดาห์


ไฟเขียว : ไปได้ หมายถึง กินได้บ่อยๆ กินได้ทุกวัน

อธิบายตามรูปภาพที่ผมทำมาด้านล่างน่ะครับ



      เมื่อเรารู้แล้วว่าโซนแต่ละสี เป็นมีรายละเอียดเป็นอย่างไร ทีนี้เรามาดูกันต่อดีกว่า ว่าอาหารชนิดใหน จัดอยู่ในโซนสีใดบ้าง ดูได้ตามภาพข้างล่างน่ะครับ ผมได้จัดประเภทอาหารไว้อย่างคร่าวๆ พอให้ทุกท่านได้นึกภาพออก ว่าอาหารชนิดใดอยู่โซนสีไหนบ้าง




    พอเข้าใจกันบ้างแล้วใช่ไมครับ ว่าหลักการรับประทานอาหารตามโซนสีเป็นอย่างไร นั้นเรามาดูตัวอย่างกันต่อดีกว่าว่า หากเราต้องการจะลดน้ำหนัก เราต้องจัดตารางอาหารอย่างไร ไม่ให้แคลลอรี่ที่เรารับต่อวันเกิน 1200-1500 กิโลแคลลอรี่ ง่ายๆเลยคือเน้นกินตามโซนสีเขียว นั้นเองครับ เพราะโซนสีเขียวจะให้พลังงานน้อย ผมขอนำตารางการกินอาหารตอนที่ผมใช้ในการลดน้ำหนัก จาก 85 กิโลกรัม ซึ่งใช้เวลา 7 เดือน ลดไปทั้งหมด 35 กิโลกรัม มาเป็นตัวอย่าง ให้ทุกท่านได้ดูกัน ซึ่งตารางนี้จะบอกการรับประทานอาหารใน 1 สัปดาห์ ตั้งแต่มื้อ เช้า เที่ยง เย็น ว่าผมรับประทานอย่างไร  





     ต้องบอกก่อนเลยน่ะครับว่า อาหารทุกมื้อมีความสำคัญ ห้ามอดอาหารโดยเด็ดขาด ไม่นั้นมันจะส่งผลเสียต่อร่างกายเรามากมาย ซึ่งจะขอกล่าวภายหลัง ถ้าหากท่านไหนนำตารางการรับประทานอาหารของผมไปใช้รับรองว่า น้ำหนักต้องลดลงอย่างแน่นอน เพราะผมใช้กับตัวเองมาแล้ว ไม่โหด ไม่ทรมาน อิ่มท้องในทุกๆมื้อ และทุกเมนูล้วนมีพลังงานต่ำ ทั้งนี้ท่านสามารถนำไปปรับใช้ ให้เหมาะสมกับแต่ละคนได้ มีข้อสงสัยสามารถปรึกษาผมได้ ยินดีให้คำปรึกษา ไม่คิดเงินด้วย ติดต่อมาทาง facebook นี้น่ะครับ Surasak Ketsen



      สุดท้ายอยากฝากไว้ว่า การลดน้ำหนักไม่ยากอย่างที่คิด ขอแค่เราใจสู้ มีเป้าหมายที่ชัดเจน มีวินัยกับตัวเอง ควบคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นประจำ เรื่องลดน้ำหนักก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับชีวิตเราอีกต่อไป ลดเถอะครับรับรองว่า คุณภาพชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป

ชอบก็ like ใช่ก็แชร์น่ะครับ

อยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี


หมอเถื่อน...

ปลานิลแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยม



      เมื่อพูดถึงประโยชน์ของโปรตีน หลายคนคงจะทราบดีกันอยู่แล้วว่าโปรตีน จะมีหน้าที่ในการ สร้างกล้ามเนื้อความเจริญเติบโต  และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ให้แก่ร่างกาย ให้พลังงาน สร้างน้ำย่อย ฮอร์โมน น้ำนม สารภูมิคุ้มกันโรค และช่วยรักษาความสมดุลของร่างกาย แหล่งโปรตีน ที่สำคัญ ได้แก่ เนื้อสัตว์ นม ไข่  และพืชจำพวกถั่ว  



        มีคนถามบ่อยว่า แล้วแหล่งโปรตีนจากใหนที่ดีต่อร่างกายที่สุด อันนี้ตอบยากน่ะครับว่า แหล่งโปรตีน ใหนดีที่สุด เพราะบางครั้งดีที่สุดของอีกคนอาจจะไม่ดีที่สุดของคนอื่นก็ได้ วัดกันที่ความสะดวกของแต่ละคนแล้วกัน  แต่วันนี้ผมจะแนะนำแหล่งโปรตีนที่หาได้ง่ายๆ มีกินทั่วไป ทุนคนสามารถหามารับประทานได้ และที่สำคัญราคาไม่แพงด้วย แหล่งโปรตีนนั้นก็คือ โปรตีนจากปลานิลนั้นเอง  โดยปกติแล้ว ปลา ไม่ว่าจะชนิดใหนก็ถูกยกให้เป็น อาหารเพื่อสุขภาพ ด้วยเหตุผลที่ว่าเนื้อปลามีไขมันในปริมาณที่ต่ำ ย่อยง่าย และมีสารพิษตกค้างในปริมาณที่น้อยกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นอีกด้วย




ทำไมต้องโปรตีนจากปลานิล ?

1. ราคาไม่แพง เลี้ยงเองก็ยังได้เลย

2. หาง่าย มีทุกตลาด มีจากตลาดนัดยันห้างหรู

3. ปรุงอาหารได้หลายรูปแบบ นึ่ง แกง ทอด ย่าง

4. ประโยชน์เยอะ



โปรตีนจากปลานิล ดีอย่างไร?

     โปรตีนจากปลานิล เป็นโปรตีนที่มีไขมันต่ำ และย่อยง่าย เมื่อเปรียบเทียบกับโปรตีนที่ได้จากการเนื้อสัตว์บก เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู และสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่ ซึ่งเนื้อสัตว์จำพวกนี้จะมีไขมันอิ่มตัว แทรกอยู่ในปริมาณที่เยอะกว่า อีกทั้งความแน่นของเนื้อจะเยอะกว่าทำให้ย่อยได้ยาก สังเกตุง่ายๆตอนที่เราเคี้ยวอาหาร เนื้อปลานิลจะเคี่ยวง่าย ไม่นานก็ละเอียด แต่เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ต้องใช้ระยะเวลาในการเคี้ยวที่เยอะกว่า ซึ่งประโยชน์ของการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน คือเมื่อเราเคี้ยวละเอียดระบบย่อยอาหารก็ทำงานไม่หนัก และอาหารที่กินเข้าไปก็เสี่ยงต่อการเสื่อมคุณค่าน้อย ส่งผลให้สารอาหารดูดซึมไปใช้ประโยชน์กับร่างกายได้เยอะขึ้น 



      ปลานิลเป็นปลาที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเขตทะเลน้ำลึก หรือเขตที่มีอากาศหนาว จึงไม่จำเป็นต้องสะสมไขมัน เนื้อปลานิลจึงถือเป็นอาหารสุขภาพของคนที่กำลังต้องการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี โดยเมนูที่อยากจะแนะนำคือ ปลานิลนึ่ง + ผักลวกหรือสด+น้ำพริก โดยเมนูนี้จะให้พลังงานกับร่างกายเพียง 40 กิโลแคลอรีเท่านั้น อิ่มท้องแล้วไม่ต้องกลัวเรื่องอ้วนด้วย

     นักเพาะกาย หรือคนที่ออกกำลังกายอย่างหนักเพื่อให้ได้หุ่นล่ำๆ คนพวกนี้ต้องรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนเพื่อช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ และเมนูที่เห็นว่าคนพวกนี้รับประทานบ่อย  คือเมนูทำจากอกไก่ แต่อยากจะบอกเหลือเกินว่า อกไก่หรือเนื้อไก่ ถ้าเรารับประทานเยอะหรือบ่อยเกินไป จะมีผลเสียต่อร่างกาย นั้นก็คือ ในเนื้อสัตว์ปีกทุกชนิดจะมี พิวรีน ซึ่งเมื่อสลายตัวแล้วจะกลายเป็น กรดยูริก ซึ่งต้องระวังให้มากสำหรับคนที่เป็นโรคเก๊าท์ (Gout) เพราะฉะนั้นหากอยากได้กล้ามสวยๆ และไม่เสี่ยงต่อการเจ็บปวดจากโรคเก๊าท์ แนะนำว่าให้หันมารับประทานเนื้อปลานิลจะดีกว่า เพราะปริมาณโปรตีนจากปลานิล ก็ไม่แพ้เนื้อสัตว์อื่นๆเลย



    โปรตีนจากปลานิล ก็มีประโยชน์อย่างมากสำหรับเด็กๆ เพราะเด็กเป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโต ต้องได้รับโปรตีนที่เพียงพอเพื่อนำไปสร้างกล้ามเนื้อ และเนื้อปลานิลสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายชนิด ก้างในปลานิลก็เป็นก้างชนิดใหญ่สามารถเอาออกได้อย่างง่าย จึงไม่เป็นอันตรายต่อการกินของเด็ก 


ประโยชน์อื่นๆ ของโปรตีนจากปลานิล

1.  มีกรดไขมัน โอเมก้า 6 ไขมันชนิดนี้เป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัว และมีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่ร่างกายคนเราไม่สามารถสรา้งเองได้ จึงต้องอาศัยการรับประทานเข้าไป ซึ่ง โอเมก้า 6  มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย การทำงานของสมองและหัวใจ ช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนให้อยู่ในระดับปกติ  มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ช่วยลดและชะลอการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย 

2. มีกรดไขมัน โอเมก้า 3 ปกติเราจะได้ยินว่าโอเมก้า 3 จะพบมากในปลาทะเลน้ำลึก แต่จะบอกว่าในปลานิลเองก็มีกรดไขมันชนิดนี้ไม่น้อยไปกว่ากันเลย ซึ่งประโยชน์ของมันคือ ช่วยเพิ่มการจดจำของสมอง ทำให้ระบบประสาททำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถป้องกันอาการอัลไซเมอร์ได้เป็นอย่างดี

3. ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ เพราะในเนื้อปลานิลมีคอลาเจนชั้นดีจากธรรมชาติ โดยคอลาเจนจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิวพรรณ ทำให้ดูอ่อนกว่าวัย


     จะเห็นได้ว่าโปรตีนจากปลานิล เป็นโปรตีนที่หาซื้อได้ง่ายๆ แถมราคาไม่แพง แต่แฝงไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ  ที่ไม่แพ้ปลาทะเลน้ำลึกราคาแพงของต่างประเทศเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโปรตีนชั้นดี กรดไขมันไอเมก้า 3 และ 6 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ดีต่อร่างกาย แถมยังมีคอลาเจน  ซึ่งช่วยในเรื่องของผิวพรรณอีกด้วย พูดแล้วก็หิวสิครับ เดียวไปหาปลานิลนึ่ง+ข้าวกล้อง+ผักลวก+น้ำพริกกะปิ มาทานมื้อเที่ยงดีกว่า ซึ่งเมนูนี้เป็นเมนูประจำของผมเลย เพราะหาทานง่ายมาก ทุกท่านก็เช่นกันน่ะครับ ไปเดินตลาดดูสิ แล้วซื้อมาทานกัน รับรองว่าได้ทั้งประโยชน์ แถมราคาไม่แพงด้วย แล้วจะรู้ว่า โปรตีนจากปลานิล ดีมากขนาดใหน




ชอบก็ Like ใช่ก้อ Share ให้ด้วยน่ะครับ


ด้วยรัก
หมอเถื่อน...

คุณอ้วนแบบใหน ?

คุณอ้วนแบบใหน ?




          วันนี้หมอเถื่อน จะมาแนะนำประเภทของความอ้วนแบบจำง่ายๆ รับรองว่าทุกท่านที่เห็น ต้องเข้าใจในทันทีว่าตัวเอง  หรือคนรอบข้างอ้วนแบบใหนกัน จริงๆแล้วนักวิชาการมีการจำแนกโรคอ้วนไว้หลายแบบ แต่ที่ผมชอบมากที่สุด คือแบบที่จะพูดถึง ที่แม้ว่าเราจะไม่จบสายสุขภาพมา ก็จะเข้าใจได้ง่ายๆ

พร้อมแล้วก็เชิญทัศนา



โรคอ้วนในที่นี้ผมจะขอแบ่งเป็น 3 แบบ ได้แก่


1.อ้วนแบบลูกแอปเปิ้ล (apple-shape obesity) 



             เมื่อพูดถึงลูกแอปเปิ้ล จะสังเกตุเห็นว่า หัวและท้ายของลูกแอปเปิ้ลจะเล็กกว่าส่วนกลางลูก

     เมื่อเปรียบเทียบกับรูปร่างคนเรา ก็เปรียบเหมือนกับคนที่ อ้วนลงพุง (central obesity) คือ คนอ้วนที่มีรอบเอวใหญ่กว่าสะโพก ไม่ค่อยมีส่วนโค้งส่วนเว้า บริเวณต้นขาและก้นส่วนมากจะใหญ่ ลักษณะแบบนี้มีสาเหตุมาจาก มีไขมันมาสะสมในช่องท้องและอวัยวะภายใน (ตับ ไต ไส้ พุง ฯลฯ) ในปริมาณมาก ซึ่งไขมันที่สะสมในอวัยวะภายในนี้  เป็นตัวการที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิตสูง อีกทั้งไขมันมันที่สะสมบริเวณช่องท้อง ยังมีผลต่อการทำงานของอวัยวะภายในอีกด้วย สังเกตุง่ายๆ คนอ้วนลักษณะนี้จะหอบง่าย หายใจแรง นอนกรน เนื่องจากไขมันไปกดทับอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการหายใจ จึงทำให้ ปอด ทำงานได้อย่างไม่เต็มที่ คนอ้วนแบบลูกแอปเปิ้ลจึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรังพวกนี้ได้เยอะ กว่าคนอ้วนประเภทอื่น



คลิ๊กตรงนี้ เพื่อดูวิธีการลดน้ำหนักของคนอ้วนแบบลูกแอปเปิ้ล

2. อ้วนแบบลูกแพร์ (pear-shape obesity) 

       เมื่อพูดถึงลูกแพร์ จะสังเกตุเห็นว่าลักษณะของผลไม้ชนิดนี้ ส่วนล่างสุดของลูกจะใหญ่มาก แต่ส่วนบนกับส่วนกลางลูกจะเล็กๆ

      เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับรูปร่างคนเรา ก็เปรียบได้กับ คนอ้วนชนิดสะโพกใหญ่  ลักษณะแบบนี้ส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยไขมันจะสะสมอยู่มากบริเวณสะโพกและน่อง ช่วงล่างจึงดูใหญ่กว่าช่วงบน  คนอ้วนลักษณะนี้จะลดน้ำหนักได้ยากมากๆ (ขอย้ำว่ายากมาก) แต่ยังดีหน่อยที่โอกาศจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ จะน้อยกว่าอ้วนแบบลูกแอปเปิ้ล เพราะไขมันที่สะสมไม่ได้อยู่ในช่องท้อง จึงไม่ได้รบกวนการทำงานของอวัยวะภายในช่องท้องนั้นเอง แต่ปัญหาที่กวนใจสาวๆหุ่นลูกแพร์ (ทั้งที่เป็นโรคอ้วนแล้ว+และยังไม่อ้วน)  คือเวลาซื้อกางเกง ถ้าสั่งไซส์พอดีเอว จะติดสะโพก แต่ถ้าสั่งไซส์พอดีสะโพก เอวจะหลวม




3.อ้วนทั้งตัว (generalized obesity) 


           คนอ้วนที่มีไขมันสะสมทั้งตัว  ไขมันจะกระจายตัวอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยรอบ มีทั้งอ้วนลงพุง  และสะโพกใหญ่ คนอ้วนในลักษณะนี้จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนทุกอย่างที่คนอ้วน 2 ชนิดข้างบนมีโอกาสเป็น โรคที่พบบ่อยจะมีสาเหตุมาจาก  น้ำหนักตัวที่มากจนเกินไป ซึ่งได้แก่ โรคทางไขข้อ ปวดข้อ ข้อเสื่อม ปวดหลัง เหนื่อยง่าย หายใจลำบากเพราะไขมันมีการสะสมในปริมาณมาก และกดทับอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการหายใจ ทำให้ระบบหายใจทำงานติดขัด ทำงานหนักๆไม่ค่อยไหว หอบเหนื่อยหายง่าย


         

           รู้หรือยังครับว่าตัวคุณอ้วนแบบใหน บทความนี้เอาพอเป็นน้ำจิ้ม เดียวบทความหน้าผผมจะมาบอกวิธีลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย การเลือกเสื้อผ้า แล้วก็การเลือกรับประทานอาหาร ที่เหมาะสมสำหรับคนที่มีรูปร่างอ้วนแต่ละประเภท ด้วยความปราถนาดีจาก หมอเถื่อน จุ๊ฟๆ

ลดน้ำหนัก กับข้าวกล้อง

   

   เมื่อพูดถึงข้าว ทุกคนคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะคนไทยหรือคนแถบเอเชียเราจะรับประทานข้าวกันเป็นหลักอยู่แล้ว แต่ข้าวสมัยนี้เป็นข้าวขาวที่มีคุณประโยชน์ค่อนข้างน้อย อาจจะเหลือแค่แป้ง (คาร์โบไฮเดรต) ที่ร่างกายเราจะได้รับ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก ที่คนสมัยนี้ได้สูญเสียคุณประโยชน์ทางอาหารที่ธรรมชาติมอบให้




ข้าวกล้อง คือภูมิคุ้มกันโรคที่ธรรมชาติมอบให้

        ข้าวกล้อง คือข้าวที่มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อน เป็นข้าวที่ขัดสีเอาเปลือกออกครั้งเดียว จึงยัง มีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเปลือกข้าว (รำข้าว) เหลืออยู่ แต่ต่างจากข้าวขาวที่เอา 2 ส่วนนี้ออกไปจนหมดแล้ว จึงทำให้ข้าวกล้องอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ทางโภขนาการมากมาย



เรามาดูตารางเปรียบเทียบคุณค่าทางโภชนาการ ระหว่างข้าวกล้อง กับข้าวขาว (ข้าวขัดสี)


จะเห็นได้ว่าคุณค่าทางโภชนาการของข้าวกล้องชนะข้าวขาว ในทุกทางเลยก็ว่าได้นะครับ


เปรียบเทียบเฉพาะสารอาหาร

เปรียบเทียบแร่ธาตุ

งั้ยละครับ เมื่อเอามาเทียบกับแล้ว ข้าวกล้องชนะทุกด้านเลยใช่ไม่ละครับ แต่ถ้ายังไม่พอเราจะลงลึกมากกว่านี้กัน พร้อมยัง นั้นไปกันเลย


ข้าวกล้องกับการช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร? ดูตัวอย่างก่อนอ่านได้ที่นี้ครับ

       จากข้อมูลการเปรียบเทียบคุณค่าของข้าวกล้องและข้าวขาวด้านบน จะวิเคราะห์ให้เห็นได้ง่ายขึ้น ว่าข้าวกล้องจะช่วยลดน้ำหนักเราได้อย่างไร จากปริมาณข้าวดิบที่เท่ากันคือ 100 กรัม


1. ข้าวกล้องให้แคลอรี่ที่น้อยกว่าข้าวข้าว ข้าวกล้อง 347 : ข้าวข้าว 351 อิ่มเท่ากันกันแต่อ้วนน้อยกว่า

2. ข้าวกล้องมีคาร์โบไฮเดรต (แป้ง) ที่น้อยกว่าข้าวขาว ข้าวกล้อง 75.1 : ข้าวขาว 79.4 

3. ข้าวกล้องมีใยอาหารมากกว่าข้าวขาว ข้าวกล้อง 2.1 : ข้าวขาว 0.7 ซึ่งใยอาหารจะช่วยในเรื่องของการขับถ่าย และช่วยให้อิ่มท้องเร็วขึ้น จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่กำลังต้องการลด หรือควบคุมน้ำหนัก แถมยังช่วยให้การขับถ่ายสารพิษดีขึ้นด้วย

4. รสสัมผัสของข้าวกล้องจะกระดากคอ ขณะรับประทานไม่ลื่นคอเหมือนข้าวขาว เนื่องมาจากเยื่อหุ้มเปลือกข้าว ซึ่งจะทำให้รับประทานข้าวได้น้อยลง และอิ่มเร็วขึ้น


นอกจากนี้ข้าวกล้องยังมีคุณค่าทางโภชนาการอื่นต่อร่างกายของเราอีกมากมาย ดังนี้


1. ช่วยในกระบวนการขับถ่าย และป้องกันมะเร็งลำไส้และทวารหนัก และโรคริดสีดวงทวาร

        เนื่องจากข้าวกล้องมีใยอาหาร (Fiber) สูง ซึ่งจะมีมากกว่าข้าวข้าวขัดสีถึง 3 เท่า ซึ่งใยอาหารจะเป็นตัวช่วยอย่างดีเยี่ยมให้การขับถ่ายของเราเป็นปกติ ลดอาการท้องผูกได้ เมื่อขับถ่ายปกติ ลำไส้และทวารก็ทำงานไม่หนัก จึงลดโอกาสเลี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ และทวารหนักด้วย ทั้งนี้ไฟเบอร์ยังช่วยทำความสะอาดลำไส้ของเราอีกด้วย

สาวน้อยคนนี้แบ่งขี้จนหน้าสั่น 5555


2. ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา

        ในข้าวกล้องจะอุดมไปด้วย วิตามินบี 1 (B1) ซึ่งวิตามินตัวนี้จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาและตะคริวได้

3. ป้องกันโรคปากนกกระจอก

       โรคนี้เกิดจากร่างกายขาดวิตามิน บี 2 (B2) ซึงในข้าวกล้องจะมีอยู่ประมาณ 0.04 มิลลิกรัม/ข้าวกล้อง 100 กรัม ซึ่งดูแล้วอาจจะน้อย แต่หากรับประทานทุกวันก็เพียงพอต่อการป้องกันโรคปากนกกระจอกได้

งี้ๆๆๆๆๆๆ น่ากลัวจุงเบย


4. ช่วยในการเจริญเติบโตของเหงือกและฟัน

       ในข้าวกล้องจะมี ฟอสฟอรัส (P) สูงถึง 267 มิลลิกรัม/ข้าวกล้อง 100 กรัม ซึ่งฟอสฟอรัสจะเป็นธาตุที่จะช่วยให้เหงือก ฟันและรวมถึงกระดูกเจริญเติบโต

ฟันสวยจัง



5. ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง

         ในข้าวกล้องะมีธาตุเหล็กประกอบอยู่ด้วย ซึ่งธาตุเหล็กจะเป็นสารตั้งต้นในการสร้างเม็ดเลือกของคนเรา หากเรารับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ เราก็จะไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคโลหิตจาง และไม่ต้องอาศัยการกินยาในการช่วยเพิ่มเม็ดเลือดอีกด้วย

6. ป้องกันอาการอ่อนเพรีย และอาการปวดกล้ามเนื้อ

       การเกิดอาการเหล่านี้เนื่องจากการขาดวิตามินบีรวม แต่หากเรารับประทานข้าวกล้อง เราจะได้รับวิตามินบี 1 และ บี 2 ซึงจะช่วยป้องกันโรคนี้ได้


       เมื่อทราบคุณประโยชน์ของข้าวกล้องขนาดนี้แล้ว อย่าลืมหามารับประทานกันน่ะครับ เพราะจะช่วยเรื่องควบคุมน้ำหนักได้แล้ว ยังได้คุณประโยชน์จากสารอาหาร ที่อยู่ใรข้าวกล้องอีกมากมาย สวยหล่อด้วย สุขภาพดีด้วย ครบสูตรกันเลยก็ว่าได้น่ะครับ อยากให้คนไทยสุขภาพแข็งแรง จากสิ่งที่ได้จากธรรมชาติอย่างแท้จริงครับ ...ด้วยความหวังดีจาก อดีตหมออนามัยผู้เกษียณตัวเอง 55555555555
   

Disqus Shortname

Comments system