ผอมแน่แค่ใจสู้ !

     คุณเคยโดนคำพูดเหล่านี้มั้ย? "ไอ้อ้วน" "ช้างน้ำ" "ไอ้พยูน" ถ้าคุณไม่ใช่คนที่เคยโดนคำพูดแบบนี้  พูดใสหน้าทุกวัน  คุณคงไม่ยินดียินร้ายอะไร หรือไม่ก็คงสนุก กับคำพูดพวกนี้ เพราะคุณคือคนเป็นพูด ไม่ใช่คนฟัง ความเจ็บปวดนี้คนที่ไม่เคย อ้วน ยากที่จะเข้าใจ


    เมื่อผมลองย้อนกลับไปมองดูรูปเก่าๆ  สมัยที่ยังเป็นเด็กมัธยม ผมก็อดที่จะขำตัวเองไม่ได้  นี้เราไกลแล้วเหมือนกันน่ะ จากเด็กคนหนึ่งที่ตัว อ้วน ๆ เตี้ยๆ ดำๆ จนวันนี้ก็พอจะเป็นผู้เป็นคนมาบ้าง ไม่ได้ดูดีอะไรมากมาย แต่ก็พอได้ใสเสื้อผ้าสวยๆ พอได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติ บางครั้งมีคนชมว่าหุ่นดีบ้าง ก็พอทำให้เราได้มีความสุขไปวันๆบ้าง มันคือความสุขเล็กๆ ในชีวิตก็ว่าได้น่ะครับ

     ผมคือเด็กคนหนึ่ง ที่ตั้งแต่จำความได้ คำว่า อ้วน ไอ้อ้วน ไอ้ช้างน้ำ มันติดตัวผมมาตั้งแต่เด็กๆ  ผมไม่ได้ อ้วน อย่างเดียวน่ะ เตี้ยแถมดำด้วย หมีควายเลยสิตรู  เมื่อโดนด่าด้วยคำต่างๆนาๆ ที่บ่งบอกว่าเรา อ้วน จากคนใกล้ชิดบ้าง จากคนอื่นๆบ้าง ซึ่งบางครั้งเขาอาจจะไม่คิดอะไรนอกจากแค่สนุก แต่ผมคนฟัง มันเจ็บนะครับ แม้มันจะจริงแต่ไม่สมควรพูดป่าวว่ะ?  เลวร้ายที่สุดตอนเด็กๆ โดนเพื่อนทั้งห้องล้อ ด้วยคำที่ส่อว่ากรู อ้วน แล้วหัวเราะชอบใจ บางครั้งก็แอบคิดว่า กรู อ้วน แล้วไปหนักหัวพ่องมรึงเหรอ ชีวิตตอนนั้นเหมือนอยากไปเรียนหนักสือเลยด้วยซ้ำ เบื่อชีวิตในโรงเรียนไปเลย อายุ 16 ปีแล้ว มันวัยรุ่นแล้วน่ะ  ช่วงนี้เป็นวัยรักสวยรักงาม  รักสังคม  ต้องการเป็นที่ยอมรับ  แต่โดนทำร้ายจิตใจสุดๆๆๆๆ


(คนกลางอ้วนๆ คือผมเมื่อตอน เด็กครับ ตอนนั้น น่าจะ 70+ กิโลละ)

     ผมเคยอิจฉาคนที่เขาได้ใสเสื้อผ้าสวยๆ  ตัวเล็กๆ  แต่เรานี้อะไร  อ้วน แบบนี้ ก็ใสกางเกงเอว 40  เสื้อนักเรียนเบอร์ XL ไปดิ  ขากางเกงบริเวณขาหนีบ ก็ขาดบ่อยเหลือเกิน  เสื้อนักเรียนสีขาวๆ  กลับไปถึงบ้านถอดออกมา  ที่คอเสื้อนี้ ด๊ำ++++ ดำ  ซักยากมาก  สมัยเรียนก็ไม่อยากเข้าใกล้คนอื่น  เพราะ คนอ้วน กลิ่นตัวเหม็นเปรี้ยว   เป็นเอกลักษณ์ บางคนไม่ชอบ  เขาก็แสดงทางสีหน้า  คำพูดชัดเจน  บางคนไม่พูดแต่พยายามไม่เข้าใกล้   น้อยมากที่ คนอ้วน อย่างผมจะมีเพื่อน

 เดินมากๆ  ขาก็เสียดสีกัน  

    คนอ้วน เดินมากๆ ขาก็เสียดสีกัน  จนขาหนีบเกิดอาการ นูนแดง (แสบชิบ)  ตอนเรียนลูกเสือจะมีช่วงที่ต้องเดินทางไกล  เรา อ้วน แต่งชุดลูกเสือเดินทางไกล กลับมาถึงที่พัก มันนั่งไม่ได้แล้วน่ะครับ ปวด ร้อน แดง บวมมาก ที่บริเวณขาหนีบ เพราะมันเกิดจากการเสียดสีกันของขอหนีบ  คนอ้วนพื้นที่ก็ใช้เปลือง   ทำอะไรก็เชืองช้า  วิชาที่เกลียดสุดคือ   วิชาลูกเสือและพละ   มันต้องใช้ความว่องไว  หรืออะไรหลายๆอย่าง  ที่ คนอ้วนอย่างเราไม่เหมาะเอาเสียเลย

พีคสุดแล้วในชีวิต

     น้ำหนักสูงสุดของผมคือตอน  ม.4 พีคสุดแล้วครับ 85 กิโลกรัม  โอ่งมังกรขัดๆ  หนัก 85 กิโล  สูง 163 เซนติเมตร  แถมตัวดำ   สิวทั้งหน้า  นึกดูแล้วกันน่าชวนขนลุกขนาดใหน   กินไม่เลือก   ข้าวกินวันละ 3 มื้อ มื้อละ 2 จาน (ใหญ่ๆ)   บางวันมีมื้อดึก  ไก่ทอด  กล้วยแขก  หมูทอด  น้ำอัดลม  นี้ของโปรดเลย  กินเกือบทุกวัน   ตอนนั้นกินไม่คิดอะไร   ตามใจปากเป็นพอ  น้ำหนักก็ไม่ชอบชั่ง  ปล่อยล่วงเลย  จนรู้ตัวอีกทีก็ 85 กิโลแล้ว

วันหนึ่งความคิดก็เปลี่ยนไป เพียงเพราะเสื้องานวัด

      ปัญหาของ คนอ้วน อย่างหนึ่งคือ หาเสื้อผ้าใสยากมาก ไอ้เสื้อสวยๆ แบบวัยรุ่น คนอื่นๆเขาใสกันเราไม่มีโอกาสได้ซื้อใส เสื้อผ้าตอนนั้ก็เลยมีน้อยมาก คนอ้วนจะแต่งไปใหนหนักหนาใช่มั้ยครับ ชุดดีๆ สวยๆ เมื่อคนอื่นแต่งแล้วดูดี เมื่อเราซื้อมาใสมันก็เหมือนเอาเสื้อผ้ามาคลุมโอ่ง  เพราะฉะนั้น  จะเสียเงินกับเสื้อผ้าสวยๆไปทำไม  เอาตังไปซื้อของกินดีกว่า  มีความสุขกว่ากันเยอะ

     แต่ช่วงชีวิตคนเราย่อมมีจุดเปลี่ยน  ที่หลายๆคนไม่คาดคิด   แม้แต่ผมเองก็มีโมเม้นนั้น  ผมไปเจอเสื้อตัวหนึ่ง  ที่แขวนขายอยู่ที่งานวัดแถวบ้าน ซึ่งเสื้อแบบนั้นฮิตมากสมัยนั้น เด็กวัยรุ่นจะต้องมี เราก็อยากใสบ้าง  เลยตัดสินใจซื้อ เอา Size M ครับ ไม่ต้องลอง แม่ค้าก็งงๆ ไอ้อ้วนนี้ จะซื้อไปทำไม กลับมาถึงบ้านอย่าว่าแต่ติกกระดุมเลย แม้แต่แขนก็สอดเข้าไปไม่ได้  นั้นแขวนไว้ดูอย่างเดียวแล้วกัน  พ่อเห็นก็โดนด่าสิครับ เปลืองตังบ้าง ไม่รู้จักตัวเองบ้าง 

เปลี่ยนแรงกดดันให้กลายเป็นแรงผลักดัน

      ยอมรับครับว่า  ซื้อเสื้อตัวนั้นมาแล้วโดนด่ายับ จนแอบร้องไห้ โทษตัวเองไปต่างๆนานา เกิดมาทำไม เกิดมาแล้วก็เหมือนตัวประหลาด เกลียดเสื้อตัวนี้ด้วยที่ทำให้เราโดนด่า  พับใสถุง ยัดใสตู้จะได้ไม่ต้องเห็นมันอีก  แต่ชีวิตคงกำหนดให้เรา  ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้วแหละ เพราะดันไปเจอเด็กรุ่นพี่แถวบ้าน  ที่ไปเรียน กทม. เมื่อก่อนเขาเคยอ้วนมาก  แต่กลับมาครั้งนี้จากคนอ้วนกลายเป็นผอมหุ่นดีเชียว  ทุกคนก็ชมเขาว่าเก่ง ผอมแล้วหน้าตาดีมาก  เราก็อยากมีโมเม้นแบบนั้นบ้าง  อยากใสเสื้อผ้าสวยๆที่เราชอบสักครั้ง  ตัดสินใจละกลับบ้านไปเปิดตู้เสื้อผ้า  หาเสื้อตัวที่ซื้อจากงานวัด เอามาแขวนไว้ที่ฝาห้อง  แล้วบอกตัวเองว่า ฉันต้องใสเธอให้ได้   จริงจังมาก

จะทำยังงั้ยดีว่ะ มืดแปดด้านไปหมด?

เป็นเหมือนกันช่ายมั้ยครับ ใจมาเต็ม  แต่ไปต่อไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าจะทำงั้ย ....


เอางี้.....ผมขอแนะนำตามที่ผมทำจริงๆ 

1. ต้องมีเป้าหมายก่อนครับ ผมตั้งเป้าไว้ว่าต้องลดน้ำหนักให้ได้ 20 กิโล ภายใน 1 ปี แต่ผมกลับใช้เวลาแค่  7  เดือน  ลดน้ำหนักได้ 30 กิโล 

2. หาวิธีออกกำลังกาย  ที่เหมาะกับเราแบบ ง่ายๆ เอาแบบเบาๆก่อน ถ้าหนักเลยร่างกายจะไม่ไหวเอา

มาประเมินตัวเองกันครับว่าคุณอ้วนแบบใหนคลิกเลย


ลองไปดูข้อแนะนำตรงนี้ครับ ผมเลือกเต้นแอร์โรบิค เพราะช่วงนั้นคนบ้านนอกกำลังฮิต แถมแค่ 5 บาท/ครั้ง

3. ควบคุมอาหาร มื้อเช้ากิน 1 จาก มื้อเที่ยง 1 จาน หักดิบมื้อเย็น นมจืดอย่างเดียว อาหารทุกมื้อก็เน้นต้ม นึ่ง เลี่ยงอาหาร ทอดๆ ผัดๆ มันๆ  กินแค่น้อยๆ

       เมนูแนะนำในการลดน้ำหนัก ที่ผมทานบ่อย คือ 


  - น้ำพริกกะปิ หรือน้ำพริกอื่นๆที่ทานกันในท้องถิ่น ที่ไม่ผ่านการผัดด้วยน้ำมัน

 - ผักลวกหรือผักสด ผักได้ทุกชนิด กินให้ครบ 7 สี เน้นผักที่เป็นใบ เพราะจะมี Fiber สูงช่วยให้อิ่มเร็ว และช่วยให้ขับถ่ายได้ดี

 - ข้าวกล้อง เพราะอย่างที่รู้กันดีข้าวกล้องทานแล้วจะระคายคอนิสๆ ทำให้เราทานข้าวได้น้อยลง  สามารถเป็นตัวช่วยในการ ลดน้ำหนัก ได้อย่างดี ข้าวกล้อง ยังมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ปากนกกระจอก ป้องกันโรคโลหิตจาง

   -    ปลานิลนึ่ง เพราะโปรตีนจากปลานิล เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย และมีไขมันอิ่มตัวน้อยมาก จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก หรือเพิ่มกล้ามเนื้อ คลิ๊กตรงนี้ (เพื่่อดูประโยชน์ของโปรตีนจากปลานิล)


 - เนื้อสัตว์ก็ห้ามขาด แนะนำให้ทานเนื้อปลา  จะดีกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น เพราะย่อยง่าย และหาทานง่ายกว่า วิธีการปรุงก้อ นึ่งๆ ต้มๆ เลี่ยงๆ ทอด ผัด

 - ดื่มน้ำสะอาดเยอะๆ วันละ 1.5 ลิตร ประมาณ 7-8 แก้วต่อวัน เพราะจะช่วยเรื่องผิวพรรณ  และการทดแทนเหงื่อ  อันนี้สำคัญครับ  ไม่นั้นกลไกการทำงานของร่างกายจะพัง เพราะร่างกายเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 70 

ขอบคุณภาพ จาก http://food.mthai.com/food-recipe/100336.html

ข้อห้ามที่ต้องจำ

      เหนื่อยยังไงก็ห้ามพึ่งยาลดน้ำหนักไม่ว่าจะอยู่ในรูป  ยาเม็ด  กาแฟลดน้ำหนัก  หรืออะไรก็แล้วแต่ห้ามมมมมมมม  เจอมานักต่อนักแล้ว ที่ไปซื้อยาลดน้ำหนักกิน  แรกๆก้อผอมจริง  แต่สุดท้ายเลิกกิน  น้ำหนักก็เพิ่มเป็นเท่าตัว ราคาก็ใช้ว่าจะถูกๆ  กินแล้วก็ผอมแบบโทรมๆ  เดินลอยๆ  เหมือนคนติดยาเลย เช็คดูน่ะครับว่าเคยใช้มาบ้างป่าว ยาลดน้ำหนักอันตราย


ขอบคุณภาพจาก http://www.beauty24store.com/

สัปดาห์แรกคือช่วงที่ทรมานที่สุด

    บอกเลยครับว่าช่วง 1 อาทิตย์แรก  ผมต้องทนกับความหิว  และน้ำย่อยในกระเพาะ  จากที่กินอิ่มท้องจนพุงกางทุกมื้อ  ต้องกินแค่พออิ่ม  น้ำย่อยก็หลั่งออกมาเยอะเหลือเกิน  จนคนรอบข้างยังได้ยินเสียงกร๊อกๆๆๆๆๆ (เคยอดมื้อเย็นป่ะเสียงนั้นแหละ)  มันดังทั้งคืนเลย  ต้องทนกับความเจ็บปวด  เพราะต้องแบกน้ำหนักเยอะๆ (85 กิโล)  ไปออกกำลังกาย   ตื่นเช้ามาปวดแขนปวดขาไปหมด   แถมต้องทนคำดูถูกจากคนรอบข้าง  มึงจะทำได้เหรอ? ถ้ามึงทำด้ายกรูจะกราบมึงเลย  ไม่ทันแล้วแหละมึง  มึงตื่นเถอะ 55555555   โดนมาหมด   ไม่ถึงอาทิตย์ก็คิดจะเลิกแล้ว   แต่อีกใจมันก็บอกว่าต้องสู้   ชีวิตวันนี้มันไม่ดีเลย  เราต้องเปลี่ยน   ก็เลยเอาว่ะสู้ต่อ  ลองดูสักหนึ่งเดือน   พ้นอาทิตย์แรกไปเริ่มชินแล้วครับ   กระเพาะก็ไม่ร้องหมือนอาทิตย์แรก   แขนขาก็ไม่ปวด   ออกกำลังกายได้มากขึ้น   เดือนแรกเราเลือกที่จะชั่งน้ำหนักแค่ครั้งเดียว  คือก่อนเริ่มภาระกิจและไม่ชั่งอีกเลยเป็นเวลา 1 เดือน (อดใจเอาครับ)   แต่เราก้อทำมันอย่างสม่ำเสมอ ทุกวัน จนครบ 1 เดือน   ก็ตัดสินใจขึ้นตาชั่ง เอาแล้วสิ เหลือ 82 กิโลแล้วเว๊ยยยยย ลดไป 3 กิโล  ดีใจมาก  เราไปบอกเพื่อน  แต่ก็ไม่มีคนเชื่อ  ได้คำตอบมาว่า  จริงเหรอ?  ไม่เห็นจะผอมลงเลย  โกหกป่าว  แล้วก็หัวเราะใส  เอ่ออออออ  มึงรู้ไว้มึงทำกรูเจ็บ สักวันกรู  ต้องลบคำสบประมาทมึงให้ได้

ช่วงปิดเทอมสมัยมัธยมคือกำไรของชีวิต

น้ำหนักเราลดไป 3 กิโลแล้ว  แต่ความเปลี่ยนแปลงยังไม่เห็นชัด  แต่เราแค่รู้สึกดีกับตัวเอง  สะบายตัวขึ้น และมันก็เป็นแรงผลักดันอย่างดี  ที่ให้เราเดินหน้าทำมันต่อ  ถึงคราวปิดเทอมใหญ่ระยะเวลา 3 เดือน   ที่เราต้องอยู่บ้าน   ไม่ค่อยได้พบป่ะเพื่อนฝูง   ผมก็ออกกำลังกาย  ควบคุมอาหาร  จนเป็นกิจวัตรประจำวันที่คุ้นเคย   และจริงจังมากขึ้น   จนบางครั้งก็เพิ่มรอบการออกกำลังกาย   น้ำหนักลดลงทุกอาทิตย์   สรุป 3 เดือน ลดไป 15 กิโล  ตอนนี้น้ำหนักเหลือ 67 กิโลแล้วครับ  ใกล้จะเปิดเทอม  ต้องหาชุดนักเรียนใหม่  แล้วสิครับ  ลองเอาชุดเก่ามาใส  ตอนนี้ใสไม่ได้แล้ว   มันหลวมไปมาก   จนพ่อต้องพาไปร้านตัดกางเกง  และซื้อเสื้อนักเรียนใหม่ กางเกงจากเอว 40 ตอนนี้เหลือ 34 แล้ว เสื้อจาก XL ก็เหลือ L (ก้อดูเหมือนจะใหญ่ไป)   เราก็ดีใจกับตัวเอง   คนแถวบ้านก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง 

ชีวิตเปลี่ยนไปแล้ว 

วันนี้วันแรกของการเปิดเทอมครับ ผมก็ไปโรงเรียนแต่เช้า  กับการสวมชุดนักเรียนใหม่ยก  set  พกความมั่นใจมาเต็มที แบบที่ไม่เคยมั่นใจแบบนี้ มาก่อนในชีวิต เดินเข้าห้องเรียนไป  เชื่อมั้ยครับ?  เพื่อนทุกคนมีสีหน้าที่ตกใจ   เพราะตลอด  3  เดือนเราเก็บตัวเงียบ   ออกกำลังกาย   ช่วยงานบ้าน   ไม่ได้เรียนพิเศษ   แทบจะไม่ได้เจอใครเลย   แถมเพื่อนต่างห้องก็จำเราไม่ได้  บางคนเราต้องเข้าไปทักเขาถึงจะจำเสียงได้ เพื่อนทุกคนถามเป็นเสียงเดียวว่าไปทำอะไรมา  เราก็เล่าให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจ   มีแต่คนขอเคล็ดลับ   เราก็บอกไปหมดทุกอย่าง  (แต่ก็ไม่เห็นจะมีใครทำตาม)

จากเหตุการณ์ในวันเปิดเทอม มันเป็นแรงผลักดันอีกขั้นให้เราไปต่อ  ให้ถึงจุดที่เหนือกว่า
ผมยังคงลดน้ำหนักต่อเนื่อง  แต่เปลี่ยนจากเต้นแอร์โรบิค  มาออกกำลังกายอย่างอื่น เช่น เข้าฟิตเน็ต วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เปลี่ยนไปเรื่อยๆ  จะได้ไม่จำเจและน่าเบื่อ จนระยะเวลา 7 เดือน  คนรอบข้างก็บอกว่าพอได้แล้ว  เดียวจะผอมไปกว่านี้  เราก็เลยตัดสินใจ  ไม่ลดต่อ แค่ควบคุมน้ำหนักให้คงที่


(ลดไป 30 กิโลแล้วครับ ตอนสมัย ม 5 )

ผอมแล้วมันดีอย่างไร?

ตอนนี้ผมพอใจกับตัวเองมากครับ  เวลา 7 เดือน  ผมลดน้ำหนักไปได้ถึง  30  กิโล  ตอนนี้น้ำหนัก 55 กิโล กับความสูง 163 เซนติเมตร  ผมพอใจมาก  ชีวิตผมเปลี่ยนไป  มีเสื้อผ้าสวยๆใส   ไม่มีแล้วคำว่าหมีควาย ช้างน้ำ   หมูป่า   กลิ่นตัวเปรี้ยวๆ  ขา  2  ข้าง  ที่เคยเสียดสีกันจนบวมแดง   ขากางเกงด้านในที่เสียดสีกันจนบางและขาดบ่อย   คอเสื้อที่เคยดำจนซักไม่ออก  มันหายไปหมดแล้ว   ทำอะไรก็คล่องตัว ดูกระจกก็ยิ้มได้ พอใจกับความพยายามของตัวเองครับ  สิวที่เคยเต็มหน้าก็ลดลง   สุขภาพก็ดีขึ้น   โรคผิวหนังโรคภูมิแพ้ก็ไม่มี   นานๆถึงจะป่วยสักที   เรียนหนังสือเก่งขึ้นด้วยครับ เกรดเฉลี่ยจากมื่อก่อน 2 กว่าๆ ผอมลงก็ได้ ไม่เคยต่ำกว่า 3.30 ครับ จนสอบติดสาธารณสุขศาสตร์ แถมได้เป็นแรงบันดาลใจ  ให้ใครต่อใครอีกหลายคน   ตอนนี้ผมรับราชการ  เป็นข้าราชการ   สังกัดองค์กรอิสระ   องค์กรหนึ่งครับ





ภาระกิจนี้สำเร็จได้อย่างไร?

ผมขอเล่าต่ออีกสั้นๆน่ะครับว่า ลดน้ำหนักมันไม่ยากอย่างที่คิด ผมอยากให้คนที่ท้อใจอยู่ได้อ่านแล้วเก็บไปเป็นแรงบันดานใจ เพื่อเอาชนะมันให้ได้ ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ (หลักของผมเอง)

1. หาแรงบันดานใจ อาจจะเป็นสิ่งของ  หรือตัวอย่างดีๆ  จากใครสักคน ผมมีแรงบันดานใจ  จากเสื้อที่ซื้อมาด้วยเงินเก็บ และพี่ข้างบ้านที่ลดน้ำหนักได้ 

2. ต้องมีเป้าหมาย จะลดกี่กิโล เอาน้อยๆก่อน ผมตั้งไว้ 20 กิโลดูจะโหดไป ปรับให้เหมาะกับตัวเรา ผมทำด้ายเกินเป้าหมายไป 10 กิโล 7 เดือน กับน้ำหนัก 30 กิโล

3. เปลี่ยนแรงกดดัน ให้เป็นแรงผลักดัน คำพูดบางคำพูดจากคนรอบข้าง   มันอาจจะแย่ต่อความรู้สึก เพราะคนส่วนใหญ่  ไม่ค่อยจะให้กำลังใจใคร   เราไม่มีหน้าที่เปลี่ยนความคิดเขา เรามีหน้าที่แค่เปลี่ยนตัวเอง พิสูจตัวเองให้เขาเห็น  ว่าเราทำได้ ทุกคนมีความสามารถ  แค่ต้องดึงมาใช้  และใครที่เคยพูดดูถูกไว้เราต้องลบคำพูนนั้นให้ได้

5. เต็มที่กับมัน คิดจะทำอะไรแล้ว ทำให้สุดครับ ไม่นั้นเราก็เปลี่ยนตัวเองไม่ได้

4. สม่ำเสมอ   นั้นก็คือวินัยนั้นเอง เรื่องของการออกกำลังกาย  ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ในวัน 2 วัน   ระยะแรกอย่างหวังผลว่าน้ำหนักต้องลด  บางคนออกกำลังกาย 3 วัน พุงไม่หาย  น้ำหนักไม่ลด  เลิกดีกว่า ไม่ได้น่ะครับ  เรากินมาตลอดชีวิต จะให้มาลดแค่ 1 อาทิตย์ก็ไม่ใช่หลักการและเหตุผลที่ถูกต้อง ตั้งเป้าหมายสูง  ก็จะท้อใจเอาเปล่าๆ

ตอนเริ่มทำงานใหม่ๆครับ ช่วงนั้นยังผอมบางอยู่
เริ่มเวทครับอยากมีกล้าม

ยังออกกำลังกายอยู่ครับ



ประสบการณ์ที่เล่าให้ฟัง เป็นเรื่องของผมจริง ผมอยากให้คนที่อ่าน เก็บไปเป็นแรงบันดานใจ ซึ่งเรื่องที่เล่าเป็นช่วงที่ผมอายุ 16 ปี ตอนนี้ผมทำงานแล้ว แต่ผมก้อยังออกกำลังกาย ดูแลตนเอง ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ที่ 58-62 เพราะช่วงนี้อยากมีกล้าม ชีวิตมันเปลี่ยนไปจริงๆครับ เราดูดีขึ้น ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น โดยไม่รู้สึกว่าด้อยกว่า เมื่อเราดูแลตัวเองดี สิ่งดีๆจากรอบข้าง ก็จะเข้ามาหาเราครับ



ถ้าชอบก็แชร์ให้ด้วยน่ะครับ หรือติบ้างก็ดี เพราะบทความนี้บทความแรกของผม อยากพัฒนางานเขียนตัวเองครับ

Facebook ผมน่ะครับ เข้ามาคุยกันได้ ผมยินดีครับ





Disqus Shortname

Comments system